หนี้เสีย สินเชื่อส่วนบุคคล – บัตรเครดิต ปี 63 ส่อพุ่ง

ศูนย์วิจัยทีเอ็มบี ประเมินหนี้เสียสินเชื่อส่วนบุคคล และบัตรเครดิตปี63 พุ่งต่อเนื่อง 15-20% ผลจากเศรษฐกิจชะลอตัว
“ไทยพาณิชย์” ยืดมาตรฐานปล่อยกู้ ย้ำไม่ได้เพิ่มความเข้มงวด หวั่นซ้ำเติมคนกู้ จนต้องหันไปพึ่งหนี้นอกระบบ
ด้าน “กสิกรไทย” รับพีโลนโตแรง
นายนริศ สถาผลเดชา ผู้บริหารศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทย หรือ TMB Analytics เปิดเผยว่า หากดูแนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ปี 2563 ของสินเชื่อส่วนบุคคล เชื่อว่ามีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง มาอยู่ที่ 2.51% ของสินเชื่อรวม หากเทียบกับสิ้นปี 2562 ที่คาดว่า NPL จะอยู่ที่ 2.45% หรือมี NPL รวมอยู่ที่ 36,625 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% หากเทียบกับปี 2562 ที่คาดว่า NPL อยู่ที่ 31,848 ล้านบาท
NPL หรือหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ คือ สินเชื่อค้างชำระมากกว่า 3 เดือนติดต่อกัน (ถ้าค้างจ่ายค่างวดติดกัน 30-90 วันเป็นกลุ่มที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษเรียกว่า Special mention)
เมื่อลูกค้าค้างชำระหนี้ หรือค้างจ่ายค่างวดติดกัน 3 เดือนขึ้นไป ธนาคารจะติดตามหนี้บ่อยขึ้น แต่ถ้าเป็นสินเชื่อรถยนต์จะสามารถเข้าสู่ขั้นตอนยึดทรัพย์ได้แล้ว และบางสัญญากู้ ถ้าผิดนัดชำระหนี้ตามที่กำหนดจะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยที่ค้างอยู่) เช่น สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ที่ 6% เมื่อเบี้ยวไม่จ่ายหนี้ครบ 75 วัน ดอกเบี้ยเงินกู้จะขยับเป็น 13% หรือสินเชื่อเพื่อการทำธุรกิจของ SME เมื่อลูกค้าไปขอปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารแล้ว ธนาคารมักให้ลูกค้าเซ็นสัญญาเพื่มอีกใบ ส่วนใหญ่จะระบุว่าถ้าผิดนัดชำระหนี้เพียง 1 วัน ลูกค้าต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็น 15% ทันที
ทั้งนี้ แนวโน้ม NPL ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ปัจจัยหลักมาจาก ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ธนาคารต่างๆ อาจต้องระมัดระวังด้านคุณภาพหนี้มากขึ้น ขณะที่สินเชื่อบัตรเครดิต คาดว่า NPL มีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน มาอยู่ที่ระดับ 2.68% ในปี2563 จากสิ้นปี 2562 อยู่ที่ระดับ 1.42% ด้านมูลค่า NPL คาดอยู่ที่ 8,099 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากปี2562 อยู่ที่ระดับ 6,638 ล้านบาท
นางอภิพันธ์ เจริญอนุสรณ์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ยอมรับว่าปี 2563 เป็นปีที่ธนาคารต้องระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ให้อยู่ภายใต้กรอบกติกาที่ออกมาหลายด้าน ทั้งตามแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือข้อบังคับต่างๆ แต่โดยรวมแล้ว เชื่อว่ามาตรฐานการปล่อยสินเชื่อของธนาคารอาจไม่ได้เข้มงวดมากขึ้น อาจทำให้คนเข้าไม่ถึงสินเชื่อ ยิ่งเป็นการซ้ำเติมและผลักลูกค้าให้หันไปพึ่งพาหนี้ยอกระบบได้
ดังนั้นธนาคารก็หวังว่าปี 2563
- จะเป็นปีที่ธนาคารต้องเข้าไปช่วยเหลือลูกค้าเต็มที่ แต่ต้องไม่ขัดกฏระเบียบต่างๆที่มีอยู่
- ส่วนการเติบโตสินเชื่อคาดว่าจะเติบโตได้ในระดับ 15% ในปี 2563 ใกล้เคียงกับปี 2562
- ขณะที่ NPL เชื่อว่าธนาคารบริหารจัดการให้อยู่ในกรอบได้ โดยปัจจุบันอยู่ที่ระดับทรงตัวกว่า 3%
- ปี2563 เป็นปีที่มีหลายกฎระเบียบ เป็นตัวที่ทำให้ธนาคารโตยาก และระมัดระวังมากขึ้นเพื่อไม่ให้ขัดต่อกฏเกณฑ์ที่มีอยู่ แต่ไทยพาณิชย์ก็จะปล่อยเต็มที่ เท่าที่จะปล่อยได้ ภายใต้กฎเกณฑ์ที่มีอยู่ เพราะสิ่งที่หลายฝ่ายกำลังเร่งทำคือ การช่วยเหลือผู้บริโภค หากธนาคารไปลดการปล่อยกู้ หรือเข้มงวดมากขึ้น ก็อาจผลักให้ลูกค้าไปหาหนี้นอกระบบได้ ดังนั้นไทยพาณิชย์ก็จะช่วยเต็มที่ภายใต้ความเสี่ยงที่ดูแลได้
นายสุรัตน์ ลีลาทวีรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หากดูการเติบโตสินเชื่อส่วนบุคคลของธนาคารในปี 2562 ที่ผ่านมา โดยสิ้นไตรมาส 3 พบว่า เติบโต 19.5% ซึ่งเติบโตอยู่ในระดับสูง สะท้อนว่าคนมีความต้องการใช้เงินมากขึ้น เพราะรายได้ลดลง ทำให้สภาพคล่องอาจติดขัด จึงต้องการกู้เงินเพื่อนำมาใช้จ่ายมากขึ้น
ส่วนปี 2563 เชื่อว่าสินเชื่อบุคคลน่าจะเติบโตได้ในระดับที่ดี เนื่องจากความต้องการใช้เงินของผู้บริโภคมีอยู่สูงในด้านการปล่อยสินเชื่อของธนาคารก็ต้องระมัดระวังมากขึ้น ในการดูแลคุณภาพของสินเชื่อ และต้องหาวิธีในการบริหารความเสี่ยง โดยจะนำdigital และtechnology เช่น AI มาใช้มากขึ้น ในการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า ดูว่าการขอกู้แต่ละครั้ง นำไปใช้สำหรับหมุนเวียนในการทำธุรกิจหรือไม่ หรือเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เพื่อให้ธนาคารสามารถวิเคราะห์ความเสี่ยงของแต่ละกลุ่มลูกค้าได้ดีมากขึ้น
ส่วนกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย มีการคุมภาระหนี้ต่อรายได้หรือ DSR เชื่อว่ามีผลกับธนาคารน้อย เพราะธนาคารให้สินเชื่ออยู่ในเกณฑ์ตลอด เช่นกลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาทต่อเดือน ก็ให้วงเงินแค่ 1.5 เท่า และในอนาคตจะมีเรื่องการปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ ต้องคำนึงถึงเงินดำรงชีวิตของลูกค้าด้วย นี่เป็นสิ่งที่ธนาคารต้องดูมากขึ้น แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อธนาคารมากนัก